เศรษฐกิจระดับสองของโลก
เศรษฐกิจจีนทุกวันนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก สหรัฐอเมริกายังคงรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างไม่มีปัญหา ในช่วงก่อนวิกฤตปี 2019 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ประมาณ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ขณะที่จีดีพีของสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 21.4 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามส่วนต่างขพวกเขาลดน้อยลง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเป็นส่วนสำคัญเพียงแห่งเดียวที่มีการขยายตัวในไตรมาสที่สองของปี 2020 ซึ่งเป็นปีแห่งวิกฤตการณ์ ประเทศเศรษฐกิจสำคัญแห่งอื่นๆ ทั้งหมดต้องเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรงระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า นอกจากนั้นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของพวกเขายังคงตกต่ำ ถ้าจีนยังคงฟื้นตัวในจังหวะเดียวกับที่เพิ่งได้รับเมื่อไม่นานมานี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้นำของโลกและขึ้นนำสหรัฐอเมริกาภายในปี 2028 โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม อย่างที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้จีนแทบจะเป็นผู้นำได้ก่อนในปี 2033 ดังนั้นจึงชัดเจนแล้วว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจขงประเทศได้เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP)
เหตุการณ์สำคัญของปีที่แล้วซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้เนื่องจากเหตุการณ์ระดับโลกต่างๆ นั้นคือข้อตกลงความร่วมมือที่ลงนามโดยสิบห้าประเทศในเอเชีย การร่วมมือประกอบด้วยประเทศจีน,ญี่ปุ่น,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,สาธารณรัฐเกาหลี,อินโดนีเซีย,มาเลเซีย,เวียดนาม,ไทย,สิงคโปร์,บรูไน,กัมพูชา,ลาว,เมียนมาร์และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและอินเดียไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงนี้ โดยกล่าวว่าการนำเข้าจากจีนที่มากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อตลาดในประเทศ ประเทศสมาชิกคิดเป็น 32% ของจีดีพีของโลก ส่วนแบ่งขนาดใหญ่ที่สุด 55% เป็นของจีน ตามการประมาณการเบื้องต้น ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสิบห้ารัฐนี้จะเพิ่มเงิน 186 พันล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจโลกและ 0.2% ต่อจีดีพีของสมาชิกแต่ละประเทศ โดยทั่วไปแล้ว RCEP มีแนวโน้มที่ดีมากและแนวโน้มที่ดีต่อการร่วมมือจะมีมากพอๆ กับ BRICS
ชัยชนะต่อความยากจนที่รุนแรง
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศว่าความยากจนหมดไปจากประเทศทั้งหมด จากข้อมูลทางสถิติภายในสิบภูมิภาคอยู่ล้าหลังในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยรายได้ต่อหัวต่อปีเกินค่าเฉลี่ยที่ 1,750 ดอลลาร์ในที่สุด ดังนั้นจำนวนบุคคลที่อาศัยอยู่ในชนบทที่มีความยากจนอย่างรุนแรงในประเทศได้ลดลง 5.5 ล้านคน นอกจากนี้รัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนจีนไปเป็น 12,535 ดอลลาร์ภายในปี 2023 ในตอนนี้ประเทศจัดอยู่ในอันดับที่สี่ในการจัดอันดับประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีเงินดอลลาร์มากที่สุดรวมทั้งหมด 1.3 ล้านคน
ตลาดหุ้นของจีนกำลังเติบโจ
วันนี้ตลาดหุ้นของจีนมีสมดุลที่ดีสำหรับนักลงทุน ห้าปีที่ผ่านมาความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากจึงทำให้มีผู้เข้าร่วมที่ที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพจำนวนมากเข้าสู่ตลาด แน่นอนว่าสิ่งนี้มีผลกระทบที่ไม่ดีซึ่งหลังจากนั้นก็ข้ามผ่านไปได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้มีเทรดเดอร์ของสถาบัน 70%, เทรดเดอร์รายย่อย 25% และนักลงทุนต่างชาติ 5% ในตลาด ในปี 2019 ทางการของประเทศได้เริ่มดำเนินโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเปิดเสรีตลาดหุ้นจีน มันส่งผลให้การลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีมาก อุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ของจีนมีมูลค่าถึง 16 ล้านล้านดอลลาร์ในปีก่อนการเกิดวิกฤต
การปฏิรูปเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้ด้วยดี
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังได้รับแรงหนุนในประเทศจีนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าไม่ส่งผลเสีย แต่กลับเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต ประการแรกอุตสาหกรรมยาของประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมากช่วงที่เกิดวิกฤตโควิท19 ดังนั้นจีนจึงกลายเป็นประเทศแรกที่รับมือกับการแพร่ระบาดการติดเชื้อโคโรน่าไวรัส โดยมีการใช้งานด้วยแอพที่เรียกว่า Health QR Code นอกจากนี้จีนกำลังสร้างความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีภูมิอากาศและอวกาศ จากข้อมูลล่าสุดทางการของประเทศกำลังจะดำเนินการก่อสร้างสถานีอวกาศนานาชาติแห่งใหม่ นอกจากนั้นจีนยังต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ แล้วทางการยังมั่นใจว่าเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศจะพร้อมใช้งานภายในเวลาเพียงห้าปี
เงินหยวนดิจิทัล
การเปิดตัวเงินหยวนดิจิทัลอย่างเป็นทางการได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของปีนี้ สกุลเงินเสมือนจริงตอนนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้งานระหว่างประชากร,ธนาคารและบริการต่างๆ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เงินหยวนดิจิทัลจะอยู่ในการหมุนเวียนภายในโอลิมปิกปี 2022 ที่จะจัดขึ้นที่ปักกิ่ง