ธนาคารกลางแห่งยุโรปรั้งแนวโน้มขาขึ้นไว้

ยูโรโซน
ธนาคารกลางแห่งยุโรป ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ในที่ประชุมในวันพฤหัสบดีที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์จากทางตลาด และไม่ทำให้เกิดความผันผวนมากขึ้น, เงินฝากและอัตราส่วนเพิ่มยังคงอยู่ในระดับก่อนหน้านี้ ส่วนระดับต่ำสุดก็จะถูกรักษาระดับไว้อย่างน้อยจนกว่าจะถึงช่วงฤดูร้อนของปี 2019 และสำหรับโครงการซื้อคืนสินทรัพย์คืนนั้นเองทางด้าน ธนาคารกลางแห่งยุโรป คาดว่าจะบรรลุได้ในเดือนธันวาคมของปีนี้ และตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม เพื่อลดปริมาณการไถ่ถอนตั้งแต่ 30 ถึง 15 พันล้านยูโร ส่วนของการขยายโครงการซื้อคืนก็กลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับตลาดไป แต่ก็ตอบรับอย่างเหมาะสมกับเหตุผลทางสถานการณ์เศรษฐกิจของยูโรโซน
ซึ่งแตกต่างจากเฟด เพราะว่าธนาคารกลางแห่งยุโรป ตั้งใจที่จะรักษาแนวทางในการคืนเงินทุนในการชำระเงิน จากการไถ่ถอนหลักทรัพย์ โดยไม่มีการพูดถึงมาตรการใด ๆ เพื่อลดความสมดุลลงไป
เป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า มันยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ถึงการดำเนินการแบบรุกจากทาง ธนาคารกลางแห่งยุโรป ในขั้นตอนปัจจุบัน สำหรับการศึกษาของของสถาบัน ZEW ได้แสดงให้เห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของประเทศเยอรมัน ได้ลดลงสู่ระดับที่ -16.1p ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2012 ในขณะที่ทางยูโรโซนได้ลดลงจาก + 2.4p เป็น -12.6p

ส่วนสาเหตุของการกังวลก็เป็นที่รู้จักกันดี ก็คือการเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา และความกังวลเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ของประเทศอิตาลี ที่ทางตลาดดูแล้วว่าพวกเขาน่าจะทำลายคามสมดุลในตลาดการเงิน ในประเทศเยอรมนีจะพบว่า มีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างอ่อนแอ, ตัวเลขของการส่งออก, การผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ไว้



ดังนั้นแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้าจึงลดลงอย่างมาก ในส่วนของเงินยูโรที่อ่อนค่าลงหลังจากมีความเสถียรภาพในระยะสั้น และจนถึงช่วงสิ้นสัปดาห์นี้ ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือ 1.1600 จุด ที่มาจากกข้อมูลเงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม ภายในวันศุกร์ที่ออกมาสอดคล้องกับคาดการณ์



ประเทศอังกฤษ
อัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรอังกฤษได้ชะลอตัวลดลงไป ซึ่งจะช่วยลดแนวโน้มในการใช้นโยบายเชิงรุก ที่เข้มงวดขึ้นอย่างมากจากธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ตามที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภคได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.4% ในรอบเดือนพฤษภาคม ซึ่งสอดคล้องกับผลประกอบการในรอบเดือนเมษายน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญก็คาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวได้ถึง 2.5% ดังนั้นแล้วดัชนีฐานก็ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 2.1%
ตัวบ่งชี้เบื้องต้นหลายชนิด ที่อาจจะมีผลต่อกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อดู ก็ยังดูอ่อนกำลังลงมา โดยดัชนีราคาด้านการค้าปลีกได้ปรับตัวขึ้นมาน้อยกว่าตามที่ได้คาดการณ์ไว้, ดัชนีราคาบ้านก็อ่อนตัวลงมา, ข้อมูลตัวเลขค่าจ้างโดยเฉลี่ยก็ยังต่ำอยู่ ในรอบเดือนเมษายนพบว่า รายรับของประชาชนที่อยู่ในวันทำงานได้ลดลงไป 0.1% และตอนนี้ อัตราการเติบโตของค่าจ้างก็น้อยกว่าในช่วงครึ้งแรกของปี 2015

จากทีได้เพิ่มการเติบโตของยอด GDP ที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนที่สูง ที่เกี่ยวข้องกับ Brexit ซึ่งได้ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของการลงทุน เพื่อให้เข้าใจว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษ ยังไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ สำหรับอัตราการเติบโต ยกเว้นเพียงแต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังค่อนข้างสูง นอกจากนี้แล้ว สถานการณ์ถารถอดตัวที่ดู "ไม่ดี" ก็อาจทำให้เกิดภาวะการถดถอย ซึ่งอาจมีการซ้อนทับกับอัตราเงินเฟ้อที่สูง แล้วจะทำให้ประเทศเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปได้ นั้นเป็นฝันร้ายของทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ
ทางด้านธุรกิจก็ยังคงกังวลอย่างมาก เกี่ยวกับเป้าหมายเหล่านี้และ มันก็ไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญที่ทางด้าน BusinessEurope จากสมาพันธ์ธุรกิจในยุโรป ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อหน่วยงานของประเทศอังกฤษ เพื่อรักษาระบบในปัจจุบัน ของสหภาพยุโรปไว้อย่างกว้างขวางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "อุปสรรคที่มิใช่ภาษี" เกิดขึ้นมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การตกอยู่ในช่วงที่มีของการกีดกันทางการค้าที่ไร้การจัดการ
เงินปอนด์ในสภาวะปัจจุบันอาจจะมีการปรับตัวจากระดับต่ำ แต่อาจจะมีการดำเนินการแบบเชิงรุกมากกว่าตามที่ได้คาดการณ์ไว้ของทางเฟด ในที่ประชุมที่ไม่เป็นที่น่าพอใจของทางด้านนักลงทุน ที่รู้สึกว่าหน่วยงานผู้กำกับดูแลมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดคลื่นลูกใหม่ในช่วงวิกฤตินี้ ดังนั้นแล้วค่าเงินดอลลาร์ ได้อ่อนกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และนี่เป็นเหตุผลเดียวที่ว่า เงินปอนด์ได้อยู่ในระดับที่ต้องการ
จนถึงจะถึงช่วงปลายสัปดาห์ สถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ การซื้อขายในช่วงที่จำกัดอยู่ที่ระดับ 1.3300 / 1.3470



น้ำมัน
จากการขาดปัจจัยสำคัญที่ใหม่ๆ เพื่อจะได้ช่วยป้องกันน้ำมันไม่ให้เข้าสู่ช่วงการซื้อขายก็ดูเหมือนว่า สถานการณ์จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะถึงช่วงสุดสัปดาห์ ทางด้านเบรนท์น่าจะยังคงอยู่ในระดับ 75.50 / 77.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล