สงครามทางการค้าได้หยุดยั้งหลายๆอย่าง


เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ได้แข็งค่าขึ้นมา เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก หลังจากที่มีการการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ ตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับข้อมูลด้านสถิติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับ ยอดค้าปลีก และการคาดการณ์ในแง่ดีของ OECD ทางด้านองค์กรที่ดูแลด้านนี้เชื่อว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย จะเริ่มปรับขอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาในตอนท้ายของปี2018 เมื่อเทียบกับแนวโน้มของการเร่งค่าจ้างให้เพิ่มขึ้นมา และอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย ส่วนยอด GDP จะขยายตัวขึ้นมาถึง 2.9% ในปีนี้ และอีก 3% ในปีหน้า สำหรับการว่างงานจะลดระดับลงไปเหลือ 5.4% ในปี2018 แลอีกใน 5.3% ในปี 2019 ทางด้านสถาบัน OECD เชื่อว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจออสเตรเลียมีการเติบโตที่ดี มันจะส่งผลดีต่อการรวมตัวกัน ของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอุปสงค์ภายนอกที่สูง

ความเชื่อมั่นขององค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ไม่ได้มีในส่วนของตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งในตรงกันข้าม กลับได้เปลี่ยนการคาดการณ์ของการเพิ่มขึ้นครั้งแรก ในอัตราเงินสดตั้งแต่ปี 2016 จากเดิมที่ 1.5% ในช่วงปัจจุบัน โดยเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2019 นอกจากปัจจัยภายในที่ไม่เอื้ออำนวย ต่อการมีแรงงานที่ซบเซาและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไป จึงทำให้ยังเป็นที่ต้องการกันในส่วนมาก (ไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะว่าการว่างงานในประเทศออสเตรเลียอยู่ห่างจากการจ้างงานเต็มรูปพิกัด (5%) ทางด้านนักลงทุนกลับวิตกเกี่ยวกับ สงครามการค้า รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการณ์ทางการเมืองของประเทศอิตาลี ยังมีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาของการเริ่มต้นของการปรับนโยบายทางการเงินสู่สภาพปกติ ของธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีบ พร้อมกันกับความต้องการที่ลดลงไปอย่างมากทั่วทั้งโลก จึงส่งผลทำให้เกิดความกดดันเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย

การเคลื่อนไหวของค่า MSCI EM และแนวโน้มของการปรับอัตราเงินสด

หนึ่งในปัญหาหลักของ "เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย" ก็คือการมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเติบโตของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในสหรัฐอเมริกา เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ต่อเงินกองทุนของรัฐบาลกลางเป็น 2.5% ภายใน 12 เดือน ในส่วนของกรณีนี้ หากดูควบคู่ไปกับความการดำเนินการของ ธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย ในการเปลี่ยนอะไรก็ตามในด้านนโยบายการเงิน ที่จะทำให้ Morgan Stanley แนะนำให้ลูกค้าในการขายคู่สกุลเงิน AUD / USD ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งของประเทศออสเตรเลียและ ประเทศอเมริกัน อายุ 10 ปี จะไปอยู่ที่ -15 pb โดยมีมูลค่าโดยเฉลี่ยของตัวบ่งชี้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาที่ +68 bpts จากสถานการณ์ดังกล่าวในตลาดตราสารหนี้ทำให้ "เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย" ได้รับการสนับสนุนจากเทรดเดอร์ ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศกำลังพัฒนา

แรงกดดันที่เพิ่มเติมขึ้นมาเกี่ยวกับ "เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย" ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสงครามการค้าก็คือ สหรัฐอเมริกา จะหยุดไปเพียงชั่วคราวแล้วก็ดำเนินการแนวทาง เกี่ยวกับภาษีขาเข้า อีกครั้งสำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม เนื่องจากการไม่สามารถเข้าควยคุมคู่ค้าด้านการขายจาก ประเทศแคนาดา,เม็กซิโกและสหภาพยุโรปได้ พวกเขาจึงได้ออกมาพูดอย่างเปิดเผย ถึงการปฏิบัติการทางทหาร ทางด้าน Donald Trump ได้กล่าวไว้ในทวิตเตอร์ของเขาว่า หากคุณมีรายได้ 800 พันล้านเหรียญต่อปี จะไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวสงครามทางการค้าได้ ทางด้านประเทศจีน ก็อาจจะลดการซื้อสินค้าและบริการจาก ประเทศออสเตรเลียลงไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากทางสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขทางสถิติที่ดีในระยะสั้นของยอดขายค้าปลีกจะพบได้ว่า ยอด GDP และความเชื่อมั่นที่ดีในระยะปานกลางของ ธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย อาจส่งผลต่อการปรับฐานของคู่สกุลเงิน AUD / USD

ทางเทคนิคแล้วจะพบว่า การย้อนกลับมาของมูลค่าในคู่สกุลเงินไปยังแนวเส้นของ ช่องทางการซื้อขายขาขึ้นในระยะยาวนั้นจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ต่อกราฟรูปแบบค้างคาว ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 88.6%

ชาร์ตรายวันของคู่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์สหรัฐ (AUD/USD)