ทางเบรนท์กำลังรอการตัดสินใจของนาย Donald Trump

ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของปีนี้ ระดับราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของราคาน้ำมันในทะเลเหนือ ได้ปรับตัวไปมากกว่า12.8% จึงทำให้การคาดการณ์ของสำนักข่าววอลสตรีตไม่ตรงที่คาดไว้ นักวิเคราะห์ได้ออกมาคาดการณ์ไว้ในเดือนธันาคมว่า ระดับราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 57เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาสแรก แต่ความจริงแล้ว มันกลับกลายมาเป็น 67 เหรียญต่อบาร์เรล นอกจากนั้นแล้ว ในเดือนพฤษภาคม ระดับของทางเบรนท์ ได้ขยับตัวไปถึง 76 เหรียญต่อบาร์เรล ที่เป็นระดับที่สูงสุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2014 นักเศรษฐศาสตร์จึงได้นำเสนอออกมาว่ามีส่วนของ ผลกระทบทางการเมืองเพื่อเป็นข้ออ้าง ซึ่งโดยรมแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่สามารถคาดการณ์ได้จริงทั้งหมด แน่นอนว่า พวกเราต้องยอมรับถึงตัวกระตุ้นหลักที่มีการปรับตัวถึง 10% ในส่วนของน้ำมันตลอดในเดือนที่ผ่านมา ที่ได้กลายมาเป็นแนวโน้มที่อาจส่งผลต่อการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา ต่ออิหร่านกลับมาอีกครั้ง โดยบางคนเองก็เริ่มที่จะจับตามองกระบวนการนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางประเทศอิหร่านเองก็ได้ทำการโน้มน้าว อดีตประธานาธิบดี Barack Obama ให้ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยข้อกำหนดได้เพิ่มมากขึ้น ตามที่อิหร่านได้มีการเพิ่มผลผลิตด้านน้ำมันขึ้นมาราวๆ 1ล้านบาร์เรล ส่วนประะานาธิบดีคนใหม่แห่งทำเนียบเอง ก็ได้ออกมาวิพากย์วิจารณ์คนดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขาอยู่เป็นประจำว่า ได้ควบคุมดูแลผิดพลาดไปหมด และยังกล่าวอีกว่า ในวันที่ 9 เดือนพฤษภาคม เขาจะออกมาประกาศคำตัดสินของเขา ว่าจะทำการคว่ำบาตรอีกหรือไม่ อ้างอิงจากทางด้านสถาบัน RBC Capital Markets ที่ได้ระบุว่า มันอาจจะก่อให้เกิดการลดระดบัลงมาของการส่งออกจาก ภูมิภาคตะวันออกกลางถึง 200,000-300,000 บาร์เรล จากเหตุผลในส่วนนี้เองจึงทำให้ความเห็นไม่ลงรอยกัน

ระดับการเคลื่อนไหวของการส่งออกและการผลิตน้ำมันในประเทศอิหร่าน

อ้างอิงจากทางด้านสมาคม PVM Oil Associates ได้ออกมาระบุว่า การถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจากข้อตกลงกับทางประเทศอิหร่านนั้น เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำมันของเบรนท์ ได้ขยับตัวไปถึง 80เหรียญต่อบาร์เรล ในทางตรงกันข้าม การที่ไม่มีการคว่ำบาตรนั้นก็จะลดระดับของสัญญาซื้อขายน้ำมันจากทะเลเหนือล่วงหน้า ลงไป 65เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งก็มีความเห็นที่คล้ายกันมาจากทางด้าน Barclays อีกด้วย ส่วนทางธนาคารก็เชื่อว่า ผลกระทบด้านการเมืองของการถอนตัวออกจากข้อตกลงนั้น ค่อนข้างเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ "การปรับตัวขึ้นมา" ของน้ำมัน มากกว่าการขาดนโยบายของทำเนียบขาว

ตามความเห็นของฉัน คิดว่า อาจจะมีการดำเนินการตามหลักการของ "การซื้อข่าวรือ และขายข้อเท็จจริง ออกไป" ในตัวมันเอง สำหรับระดับการเติบโตของทางเบรนท์ใน 10% ในช่วงรอบเดือนนั้น แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนหลายคนได้จับตาดูปัจจัยของอิหร่านในส่วนของมูลค่าอยู่ และตอนนี้ พวกเราเองก็พร้อมที่จกำหนดระดับผลกำไรจากสถานะการซื้อ หลังจากที่มีคำแถลงการณ์ออกมาจาก ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับ การดำเนินการคว่ำบาตรอีกครั้ง โดยแนวโน้มของการปรับตัวในน้ำมันจะเกิดขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพราะตลาดจะมีการย้อนกลับเข้าไปสู่สถานะที่เรียกว่า การชักกะเย่อระหว่าง ผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินในสหรัฐอเมริกา และทางโอเปก ในเวลาเดียวกัน ความจุไม่เพียงพอของท่อส่องน้ำมันในสหรัฐอเมริกา ก็อาจจะส่งผลต่อ "การขาดทุน" ได้ ในทางตรงกันข้าม การสนับสนุนต่อ "แนวโน้มขาขึ้น" ก็จะช่วยสร้างการเติบโตให้เกิดขึ้นของอุปสงค์ในระดับโลก และการลดระดับลงไปของการส่งออกในอิหร่าน

ในส่วนของเดือนเมษายน จะพบได้ว่า ผู้ซื้อรายใหญ่ระดับโลกของน้ำมัน ได้ทำการนำเข้าน้ำมันจากประเทสจีนถึง 9.64 ล้านบาร์เรล ซึ่งคิดเป็น 4% ที่มากกว่าในเดือนมีนาคม และนี้เป็นระดับใหม่ โดยที่ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมอยู่ใน 9.61ล้านบาร์เรล นอกจากนั้นแล้วประเทศจีนเองก็ยังขึ้นนำในการจัดการกับอุปสงค์ระดับโลก ที่มีส่วนสนับสนุนทางโอเปกอีกด้วย

ทางเทคนิคแล้ว หลังจากที่ได้ขยับตัวไปในพื้นที่ convergence zone ที่ 76.15-77เหรียญต่อบาร์เรล ก็จะพบกับ การสนับสนุนของเป้าหมาย 224% และ161.8% ในกราฟย่อยและกราฟหลักแบบ AB = CD ส่วนแนวโน้มของการย้อนตัวกลับ ก็เพิ่มขึ้นมา ดังนั้นแล้วสถานการณ์ในตอนนี้จะเต็มไปด้วยการก่อตัวในรูปแบบการย้อนกลับแบบ "Three Indians"

ชาร์ตรายวันของทางเบรนท์