เงินดอลลาร์เตรียมตัวปรับตัวขึ้น

เงินดอลลาร์ได้สิ้นสุดการปรับตัวในรอบสัปดาห์ ที่มาพร้อมกับการช่วยเหลือของข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคเชิงบวกที่ได้รายงานออกมาในวันศุกร์

ดัชนีค่าใช้จ่ายในส่วนของการบริโภคส่วนบุคคล ในไตรมาสแรกของปี 2018 ได้เพิ่มขึ้นมา 2.5% เมื่อเทียบกับ +1.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การปรับตัวขึ้นมาอย่างคงตัวของอุปสงค์ในผู้บริโภค สำหรับการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของค่าใช้จ่ายด้านการจ้างงาน อยู่ใน 0.8% ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมมองได้ว่า มีการเติบโตเกิดขึ้นในส่วนของกิจกรรมผู้บริโภคในระดับคงตัว ซึ่งยังช่วยสนับสนุนต่อการเติบโตอย่างมากของ รายรับในครัวเรือน โดยตัวบ่งชี้ทั้งสองมีการปรับตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ ยังทำหน้าที่ที่สำคัญต่อการทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา

สำหรับการเติบโตของยอด GDP จะพบได้ว่า มีสิ่งที่ทำให้ผู้เข้าร่วมในตลาดตกใจได้ นั้นก็คือ ระดับการเติบโตที่ลดระดับลงไป 2.3% เมื่อเทียบกับ 2.9% ในช่วงแรกของไตรมาส แต่ก็ยังมีระดับที่สูงกว่าการคาดการณ์ที่ประเมินไว้

นอกจากนั้นแล้ว ข้อมูลยังแสดงให้ทราบถึง ระดับการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จากทางมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่อยู่ใน 98.8p ในเดือนเมษายน โดยเป็นระดับการเติบโตของสินค้าคงทน ที่จะไปสนับสนุนกิจกรรมทางอุตสาหกรรม และยังมีการลดระดับลงมาอย่างมากของ ดุลสินค้าในเดือนมีนาคม ที่ทำให้สามรารถสรุปออกมาได้ว่า อุปสงค์ของเงินดอลลาร์ยังคงทรงตัวอยู่ รวมทั้ง ระดับการเติบโตที่คงตัวของเศรษฐกิจในอเมริก ที่ไม่ได้มาเพียงแต่การก่อตัวขึ้นมาของความตึงเครียดทางการเมือง

ปฏิทินทางเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้าจะค่อนข้างเข้มข้น และเงินดอลลาร์เองก็อาจจะมีตัวกระตุ้นต่อการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในวันจันทร์ เมื่อมีข้อมูลออกมาระบุถึง ดัชนีราคาของ PCE ที่แสดงให้ทราบถึง แนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริโภคส่วนบุคคล จะออกมา ทางด้านนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ต่อการเติบโตในเดือนมีนาคมที่อาจจะอยู่ใน 1.8% เมื่ออยู่ใน 1.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับเงินเฟ้อ ที่เป็นเกณฑ์ราคาหลักที่มีการจับตาดูโดยทางเฟด เพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน

ในวันอังคารพบว่า จะมีการรายงานจากสถาบัน Markit และ ISM เกี่ยวกับกิจกรรมในภาคการผลิตรายงานออกมา โดยคาดว่าอาจจะมีการลดระดับลงไปบ้างเล็กน้อย แม้ว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง

ในวันพุธ จะมีการประชุมของคณะกรรมการผู้กำหนดนโยบายทางการเงินที่จะเกิดขึ้นมา ซึ่งอาจจะยังไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมาสู่ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราในต่างประเทศมากนัก เพราะว่ามันยังเป็นช่วง "เปลี่ยนผ่าน" ที่จะไม่ได้มาพร้อมกับการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับ การคาดการณ์ของเศรษฐกิจมหภาคที่ออกมาและการแถลงการณ์ โดยผู้เข้าร่วมในตลาดส่วนใหญ่จะยังคงจับตาดูการแถลงการณ์ที่ออกมาหลังจากนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าอาจจะค่อนข้างแสดงจุดยืนที่ต่างออกไปจากครั้งที่แล้ว ดังนั้นตลาดกำลังรอการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกหนึ่งครั้ง ภายในการประชุมของเดือนกรกฎาคม ซึ่งครั้งนี้อาจจะส่งผลต่อมูลค่าของเงินดอลลาร์ได้

ในวันพฤหัสบดี พบว่ามีการรายงานข้อมูลเบื้องต้นของไตรมาสแรก จากตลาดแรงงานออกมา โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของระดับค่าจ้างและผลผลิต รวมทั้งดัชนี PMI จากทาง ISM ในส่วนของภาคการบริการ

วันที่สำคัญของสัปดาห์นี้จะอยู่ในวันศุกร์ ที่จะมีการรายงานด้านการจ้างงานของเดือนเมษายนรายงานออกมา โดยที่จำนวนการจ้างงานใหม่เริ่มเข้าใกล้สู่อัตรา 200,000 คน หลังจากที่มีการรายงานข้อมูลออกมาของเืดือนมีนาคมที่ไม่ตรงความต้องการ แต่ประเด็นสำคัญอาจจะไปอยู่ในการเพิ่มขึ้นของระดับค่าจ้าง ทางด้านตลาดเองก็เข้าใจว่าทำไมเงินเฟ้อยังลดระดับลงมา แม้ว่ามีการเติบโตเกิดขึ้นในตลาดแรงงาน ถ้าหากพวกเขาพบกับปฏิกริกยาเชิงบวกจากมูลค่าในช่วงตอนท้ายของวันนี้ ก็จะพบได้ว่า เงินดอลลาร์อาจจะมีการเข้าใกล้ระดับในรอบสัปดาห์ที่มาพร้อมกับ การปรับตัวขึ้นอีกด้วย

การแข็งค่าของเงินดอลลาร์เกิดขึ้นมาจากการดำเนินการของธนาคารกลางที่ยังไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ในวันพฤหัสบดีและศุกร์ ทางด้าน ธนาคารกลางแห่งยุโรป และธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น จะจัดการประชุมขึ้นตามมา หลังจากที่สกุลเงินทั้งสองยังคงมีการปรับตัวลงจากสถานะเดิม ส่วนธนาคารกลางแห่งยุโรปเองก็ยังคงไม่ดำเนินการเกี่ยวกับระยะเวลาในการบรรลุการดำเนินการซื้อคืนกลับมา และธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเองก็ยังคงปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในแดนลบ และออกมายืนยันถึงเป้าหมายของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ในระดับที่ใกล้กับศูนย์ ขณะที่มีคำแถลงการณ์ออกมาเกี่ยวกับ แผนการการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อใน 2% ที่ไม่ปรากฏออกมาในการแถลงการณ์ของช่วงปี 2019 นอกจากนั้นพวกเรายังอ้างอิงถึง การที่นาย Mark Carney ได้เปิดเผยเกี่ยวกับารที่ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษยังไม่รีบในการปรับนโยบายให้คืนสู่สภาพเดิม และ สกุลเงินขนาดใหญ่ในระดับโลกจึงหลีกทางให้กับเงินดอลลาร์ในการปรับตัวขึ้นต่อไป

เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอยู่นั้นไม่เป็นที่ต้องการจากทางรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เพราะว่ามันจะไปกระทบต่อการขาดดุลในงบประมาณ แต่จากที่เห็นได้ชัดก็คือในระดับงบในปัจจุบันนั้นเอง