ความตั้งใจของฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกานั้นก็คือ การจัดการความขัดแย้งระหว่างทางสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สงครามการค้าโดยรวม และภาษีการนำเข้าใหม่เองก็เป็นเรื่องที่ต้องมาจัดการกันอีกด้วย รวมทั้งแนวโน้มประนีประนอมจากทางประธานาธิบดีประเทศจีนที่ช่วยให้ เกิดแนวโน้มขาขึ้นในระดับของเบรนท์ และ ทางด้าน WTI ให้มีการปรับตัวสวนทางขึ้นไป สำหรับคุณ Xi Jinping ก็เตรียมพร้อมที่จะเปิดการเข้าถึงอย่างเสรีสำหรับชาวต่างชาติสู่ตลาดการเงินของประเทศ และลดระดับกำแพงภาษีของการผลิตรถยนต์จากประเทศอื่นๆที่ส่งเข้ามาในประเทศตนเอง แม้ว่า หลังจากที่ได้ออกมาตอบโต้กันไปมา ทั้งสองฝ่ายที่ได้รับผลกระทบกันก็ได้หันมาร่วมกันเจรจาหาทางออก โดยปัจจัยที่เร่งอุปสงค์ในระดับโลกก็จะส่งผลต่อด้านน้ำมันอีกครั้งหนึ่ง และสถานการณ์ในตอนนี้อาจจะทำให้เกิดการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในส่วนของแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว
เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้เพิ่มขึ้นมาจากความสำเร็จในการหาทางออกของ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน โดยตอนนี้พวกเขาได้หันไปสนใจกับสถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และเหตุการณ์ในตลาดน้ำมันของสหรัฐอเมริกา สำหรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันจากการรายงานของคุณ Baker Hughes นั้นพบว่าเพิ่มขึ้นมาถึง 11 แท่นในรอบสัปดาห์ของวันที่ 6 เดือนเมษายน และมีผลผลิตอยู่ที่ 10.46ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็น "แนวโน้มขาลง" สำหรับทางเบรนท์และ WTI แต่ทางด้านผู้เชี่ยวชาญของสำนักข่าว Bloomberg ได้คาดการณ์ไว้ว่ามีการลดลงของปริมาณน้ำมันคงคลังใน 1.5ล้านบาร์เรล และยังมีการเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในซีเรีย และอิหร่านที่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการลดการผลิตจากภูมิภาค
ทางด้านประธานาธิบดี Donald Trump เองก็เตรียมพร้อมที่จะออกมาดำเนินการกับทางด้าน Bashar al-Assad และกลุ่มพันธมิตรของพวกเขา รวมทั้งประเทศรัสเซีย จากการจู่โจมด้วยอาวุธเคมีที่ได้คร่าชีวิตประชาชนไปหลายคน และเริ่มต้นเปลี่ยนแนวทางของฝ่ายบริหารของเขา ในการปรับมาตรการต่อการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ต่อกรุงเตหะราน ซึ่งมีข้อกล่าวหาระบุว่าได้มีการดำเนินการโครงการอาวุธนิวเคลียร์อยู่ นอกจากนั้นแล้ว ธนาคารหลายแห่งอย่างที่ได้มีการยืนยันมาว่าเกิดขึ้นจริง จากทางด้าน Citigroup, Societe Generale, Royal Bank of Canada และ Mitsubishi UFJ Financial Group ที่ได้เชื่อว่า การส่งออกจากอิหร่านได้ลดระดับลงไปถึง 350,000-5 แสนบาร์เรล แต่ข้อมูลก็ยังไม่มากเท่ากับในปี 2010 ที่ผ่านมา แล้วมันก็ยังอยู่ราวๆ 1.2ล้านบาร์เรล โดยเหตุผลหลักก็คือการไม่เห็นด้วยของทางสหภาพยุโรปในการสนับสนุน การกระทำของสหรัฐอเมริกา
การเคลื่อนไหวของ การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน
ดังนั้นแล้ว ตลาดก็จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยของการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อกรุง เตหะราน ที่จะต้องทำการพิจารณาถึงสามครั้งก่อนที่จะทำการเปิดสถานะการซื้อจากระดับราคาในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว การเปิดสถานะการซื้อสำหรับเบรนท์เองก็อยู่ใกล้ๆกับระดับสูงที่ผ่านมา หากบางอย่างได้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดการณ์ไว้ ก็จะทำให้กองทุนป้องกันความเสี่ยงที่จะทำการกำหนดผลกำไรไว้ ก็จะย้อนกลับไปใน "แนวโน้มขาขึ้น" สำหรับน้ำมันให้ขึ้นไปในระดับด้านบน ส่วนทางด้านผู้เชี่ยวชาญของ JP Morgan เองก็มองว่าราคาเฉลี่ยของผลผลิตจากทะเลเหนืออยู่ที่ 69.5เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2018 ที่ยังไม่ได้ลบออกจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่มากกว่าระดับที่สำคัญทางจิตวิทยาที่ 70เหรียญ ที่อาจจะมาพร้อมกับการย้อนตัวกลับไปในระดับในปัจจุบัน
ทางเทคนิคแล้วจะพบได้ว่า ระดับ "แนวโน้มขาลง" หลอก นั้นได้เอามูลค่าของทางเบรนท์ออกจากช่องทางการซื้อขายในด้านบน และยังมีการมุ่งหน้าไปหาแนวรับที่ 65เหรียญต่อบาร์เรล ที่จะแสดงให้เห็นถึงการอ่อนค่าลง สำหรับการควบคุมน้ำมันก็ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มีการอัปเดทข้อมูลของกราฟรูปแบบ AB=CD ที่ได้ก่อตัวขึ้นมาอย่างเต็มพิกัดในรอบเดือนมีนาคม พร้อมกับมีเป้าหมายอยู่ที่ 161.8% และ 200% โดยที่ยังสอดคล้องกับระดับที่ $ 75.7-77
แผนผังรายวันของทางเบรนท์